รู้ทางโลก



"รู้" ทางโลกเปรียบได้ดั่งพ่อค้า
ขนของมาวางขาย แผงไม่ว่าง
เยอะไปทั่วแทบไม่มีที่จะวาง
เพราะว่าหวังมูลค่าค้ากำไร

"รู้" ทางโลก ยิ่ง "เยอะ" ยิ่งเปรื่องปราด
ว่าสามารถมี "อนาคต" ที่สดใส
"รู้" ทางธรรม รู้อยู่แค่กายและใจ
พ้นทุกข์ได้ "อนาคต" ก็หมดตาม

รู้ทางโลก ต้องรู้เยอะถึงจะเรียกว่าฉลาด แต่ก็เอาตัวรอดจากความทุกข์ไม่ได้ 
รู้ทางธรรม รู้แค่กายกับใจ ก็แจ้งจบสัจธรรม พ้นทุกข์ได้
"มีอนาคต" ทางโลก หมายถึง มีความสำเร็จ ความรุ่งเรืองรออยู่ 
(ทางลึกก็คือ มีภพชาติให้เกิดในอนาคตอีกมาก)
"หมดอนาคต" ทางธรรม หมายถึง ไม่มีอนาคตที่จะต้องเกิดต่อไป

๒๗  สิงหาคม  ๒๕๕๘

เรือลำน้อย



เรือลำน้อยครูท่านให้พายข้ามฝั่ง 
ได้สอนสั่งวิธีพายให้ศิษย์ผอง 
เลี้ยงตัวได้ในโลกนี้ที่ทุกข์ครอง 
แล้วก็ล่องข้ามให้พ้นสายชลไป 

เหลือแต่เราจะเข้าใจพายหรือเปล่า 
หรือจะเฝ้านั่งรอ ...ครูถ่อให้ 
หรืออ้อยอิ่งเอาแต่พายขายของไป 
หมดเมื่อไหร่หาของใหม่ไม่เลิกพาย

โปรดเข้าใจ...เพียงพายตามคำครูสอน 
หมดทุกข์ร้อนทั้งข้ามพ้นชลสาย 
ไม่ซ้ำซากขายของเหนื่อยเมื่อยทั้งกาย 
แต่คนพายต้อง "ใจเรา" เท่านั้นเอย

๒๖  สิงหาคม  ๒๕๕๘

แค่รู้สึกตัว...ก็ได้สร้างบารมี



         เวลาพูดถึงการสร้างบารมี เรามักจะนึกถึงการสร้างบุญด้วยการสร้างพระ โบสถ์ วิหาร ทำทาน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นการทำบุญภายนอก (แต่ไม่ได้บอกให้เลิกทำนะ)  เราแทบไม่ได้นึกถึงว่า แค่มีสติ รู้สึกตัว ที่ไม่ได้ใช้ทุนทรัพย์อะไรเลย ก็เป็นการสร้างบารมีด้วย
       
         ที่ความมีสติ รู้สึกตัว เป็นการสร้างบุญบารมี เพราะนี่คือ แนวทางในการรักษาใจให้รอดพ้นจากกิเลส ตัณหาทั้งหลาย เรียกว่า เป็นการสร้างพระภายในตัวเอง

         พระภายนอก คือพระพุทธรูป เราสร้างกันมาแล้ว อย่าลืมพระภายในเป็นอันขาดนะคะ จุดหมายของเราอยู่ที่การสร้างพระภายในให้สำเร็จนี่ละค่ะ


                                                                                  ๒๑  สิงหาคม  ๒๕๕๘
     

ความสุขคือลูกโป่ง



สุขมา ณ คราใด พึงเตือนใจให้จดจำ
สุขเปรียบลูกโป่งซ้ำ มีเข็มหนามตามทิ่มแทง

      เข็มคืออนิจจัง          เคยสมหวัง..พัง..เปลี่ยนแปลง
ลูกโป่งฤาทนแรง ปลายเข็มได้...ไม่มีทาง

หากใจยอมเข้าใจ ใจย่อมได้ซึ่งการวาง
ลูกโป่งอันบอบบาง ย่อมแตกตามธรรมดา

เห็นสุขในลูกโป่ง คือความหลงเพลินทุกขา
เห็นทุกข์คือดวงตา เห็นสุขแท้ไม่แปรเอย


๗ สิงหาคม ๒๕๕๘


ทั้งสุขและทุกข์ล้วนไม่เที่ยง เกิดแล้วมันก็ต้องจบเหมือนๆ กัน แต่คนเรานั้นรักความสุข เกลียดทุกข์ จึงต้องเตือนตัวเองหนักๆ หน่อยว่า "อย่าติดสุข" พระท่านว่า หลงเพลินสุขทางโลก ก็คือหลงเพลินทุกข์น่ะแหละ แต่ถ้ามองเห็นสุขทางโลกเป็นทุกข์ แปลว่า มีสิทธิ์เห็น "สุขของแท้ ไม่แปรผัน" แล้ว


ไม่ล่ายหลั่งจาย


ละครมงกุฎดอกส้มนี้มีการสร้างถึง 2 ครั้ง โดยช่อง 7 และช่อง 3 แต่ว่ามีตัวละครตัวหนึ่ง จำได้ว่าชื่อโรส ชอบพูดประโยคที่กลายเป็นวลียอดฮิตอยู่พักหนึ่งคือ "ไม่ล่ายหลั่งจาย" หรือ ไม่ได้ดั่งใจนั่นเอง ประโยคนี้ มันเป็นแก่นแท้ของชีวิตเราเลยล่ะ เพราะเนื้อแท้ของทุกสิ่งนั้น มัน "ไม่ได้ดั่งใจ" ทั้งนั้น คือ "บังคับบัญชา" ให้เป็นอย่างใจเราไม่ได้เลย ก็แหม..ชั้นอยากสวยเด้งอยู่อย่างนี้ แต่มันก็ดันแก่ อยากให้สุดที่รัก เค้ารักชั้นปานจะกลืน ก็ดั๊น ไปรักคนอื่นเสียนี่ อยากทำธุรกิจให้รุ่งๆ รวยๆ แต่มันก็ดันเจ๊ง ฯลฯ

ถ้าจะมีอะไรสักอย่างเกิด "ได้ดั่งใจ" ขึ้นมา ให้ถือว่าเป็นลูกฟลุค วางใจเป็นกลางๆ เสีย อย่าลิงโลด เวลาเจอของจริง คือไม่ล่ายหลั่งจายขึ้นมา มันจะยิ่งกว่าหนาว !!!

แล้วจะทำอย่างไรให้ “ล่ายหลั่งจาย” ล่ะ..คำตอบคือเป็นไปไม่ได้ มีอยู่ 2 ทางคือ เราต้องเลิกมาเกิด แต่ถ้ายังเลิกมาเกิดไม่ได้ ก็ต้องทำความเข้าใจไว้ว่า โลกก็เป็นอย่างนี้ล่ะ มีความ “ม่ายล่ายหลั่งจาย” เป็นของจริงแท้ ทั้งนี้เพราะ “ม่ายล่ายหลั่งจาย” มันบ่งบอกถึงความไม่เที่ยง บังคับบัญชาไม่ได้ ของสรรพสิ่งในโลก ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้นั่นเอง

๕ สิงหาคม ๒๕๕๘

ถามกูซักคำมั้ย !!!



เคยเห็นรูปในเฟซบุ๊ค มีคำบรรยายแบบนี้แหละ (แต่รูปนี้ทำเอง เพราะหาไม่เจอ) คือว่า นึกขึ้นมาแล้วมันขำ...เพราะเราเห็นเป็นธรรมะนะ บ่งบอกว่า คนเรานี่ติดอยู่กับการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมันซะทุกอย่าง ทั้งที่ แม้แต่ร่างกายเรา มันก็แค่ "บ้านเช่า" เอาธาตุดิน น้ำ ลมไฟ มาประกอบกันชั่วคราว ให้จิตมาอาศัยใช้บุญกรรมไปชาติหนึ่งๆ  พอหมดเวลา เราก็ต้องออกจากบ้านไป จึงเรียกว่า ร่างกายมันไม่ใช่ของเราจริงๆ เป็นแค่บ้านเช่า

แต่ในรูปนี่...ขนาดร่างกายเราเองยังยึดไม่ได้  เรายังไปยึดร่างกายของคนอื่น (สัตว์) มาเป็นของเราอีก นึกจะทำอะไรเพื่อตอบสนองความพอใจของเราก็ทำ (ถามกูซักคำมั้ยเนี่ยะ) แล้วที่เห็นว่า สวย น่ารัก ตลก สัตว์เค้าจะเห็นด้วยอย่างนั้นหรือก็เปล่า เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ (สวย น่ารัก ตลก ) มันก็ไม่ใช่ของจริงที่เป็นความจริงแท้ แต่เป็นหนึ่งในสมมุติที่คนเราอุปโลกน์ขึ้นมา จนกลายเป็นสากล พออุปโลกน์สมมุติทั้งหลายแล้ว ทีนี้ก็เชื่อสมมุติน่ะซี จนกระทั่งถือเอาสมมุติเป็น "สรณะ" ไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้ไม่สามารถมองเห็นและยอมรับสัจธรรม หรือความจริงแท้ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้เพราะพระธรรมที่ทรงสอนทุกข้อ ล้วนไม่ตอบสนองความรักหลงในสมมุติของเราแม้แต่นิดเดียว เนื่องจากนำแต่ความทุกข์มาให้ พระองค์ทรงปรารถนาให้เราพ้นทุกข์อย่างถาวรเท่านั้น

และพอยังรักยังชอบสมมุติ มันก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่กับ "สมมุติ" นั่นแหละ เพราะคนเรามันได้ไปที่ชอบๆ ทุกคน เมื่อใดเลิกรักหลง "สมมุติ" ก็จะได้ถึงวิมุติ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ทางไว้

แต่มันก็ตลกดี มนุษย์ซึ่งว่ากันว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ฉลาดกว่าสัตว์ทั้งหลาย สร้างสมมุติขึ้นเอง แล้วก็ดันติดกับดักของตัวเอง สัตว์ที่ติดกับดัก เขายังติดกับดักที่เขาไม่ได้สร้างขึ้น...

กรรมไหม คนเรา !!!!!

๕ สิงหาคม ๒๕๕๘