แด่...วันที่ดอกไม้แย้มบาน


ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" เป็นล้นพ้น

ตุลาคม 2559...พระเสด็จสู่สวรรคาลัย

ฟังเพลงเป็นธรรม-จันทร์


จันทร์คืนแรมวับแวมอยู่บนปลายฟ้า
คงล้าอ่อนแรง ทอแสงแหว่งเว้า ครึ่งดวง
คืนเหงามันเศร้ามันซึมในทรวง
จันทร์เพียงครึ่งดวง คล้ายจันทร์เจ้ารอใคร
จันทร์คืนแรม วับแวมมีเพียงครึ่งใบ คงดังกับใจฉันที่มีเพียงครึ่งดวง
คอยรักที่จะเติมเต็มในทรวง โอ้ใจครึ่งดวง เฝ้ารอมาเนิ่นนาน
จันทร์ เอ๋ยจันทร์ที่ลอยเด่นฟ้า จะมีน้ำตา หลั่งมาเหมือนฉันบ้างไหม
ความรักมันช่างห่างไกลแสนไกล ไม่รู้วันไหน หัวใจถึงจะเต็มดวง
คงมีวันที่จันทร์เจ้าจะเต็มใบ แต่ว่าหัวใจฉันจะมีไหม วันนั้น
หรือรักฉันจะเป็นเพียงความฝัน ไม่มีวันนั้น วันที่ใจเต็มดวง

นี่เป็นอีกเพลงที่อาจารย์ท่านนำมาตั้งคำถามว่าฟังแล้วรู้สึกอย่างไร
สำหรับเราแล้ว เพลงนี้หมายถึงใจของเรา
จันทร์คืนแรมมีเพียงครึ่งดวง เพราะถูกเงาบัง
ตำราว่าไว้... 
“ด้านมืดของดวงจันทร์เกิดจากส่วนโค้งของดวงจันทร์บังแสง”
ใจอันแท้จริงของเรา ก็ถูกเงาที่เกิดจากเราเองบังเช่นกัน
เงานั้นก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
ที่เรียกว่า อายตนะภายนอก เข้ามาสู่ใจ
เพราะอายตนะภายในของเราเองเปิดประตูรับเข้ามา
แล้วแปรค่าเป็นความเหงา เศร้าซึมในทรวง
หรือความสุขอย่างโลกๆ ซึ่งในความหมายที่แท้จริง
ก็คือทุกข์นั่นเอง 
และการเกิดของเราครั้งนี้ เรามีภารกิจสำคัญก็คือ
การทำใจของเราให้เต็มใบ พ้นจากเงาแห่งอายตนะมาบดบัง
เหมือนจันทร์คืนเพ็ญที่เต็มดวง...เสียที
เพราะนั่นคือการค้นพบจิตอันแท้จริงของเรา
ซึ่งเป็นทางพ้นทุกข์ตามที่ครูบาอาจารย์ชี้ทางไว้นั่นเอง…

วิถีการบินที่เป็นอิสระแห่งใจ



กางสองปีกบินสูงไกลใต้ฟ้ากว้าง
 เพราะพบทางวิถีบินสิ้นสงสัย
อิสระ ณ ท่ามกลางโลกกว้างไกล
 เหนือนกใดที่เคยผินบินร่วมทาง

 ใจดวงใดเข้าใจทาง..ความว่างเปล่า
 ย่อมสิ้นเขลาเครื่องร้อยรัดคอยขัดขวาง
 เป็นใจที่เข้าถึงซึ่งการวาง
 ใจที่กางปีกบินสิ้น "บ่วง" เอย

ทางสายนี้ที่กลับบ้าน




สุขเที่ยงแท้...รออยู่แน่ที่บ้านเจ้า 

ไม่ต้องเช่าเขาใครที่ไหนหนา
ให้เขาถีบส่งร่ำไปหลายครั้งครา 

มาเถิดมา...อย่าคิดเมิน... เดินตามทาง 


ทางสายนี้มีเพียงหนึ่งจึงถึงบ้าน ...
ข้ามสังสารเกิดตายสายชลกว้าง 
หากยอมเดินย่อมต้องถึงซึ่งปลายทาง 
ไม่ต้องนั่งรอเขาไล่ให้ลำเค็ญ 


ทางสายนี้คือ..ปัญญา....พาละเลิกใจนั้นเพิกถอนบ่วงได้ได้ด้วยใจเห็น 
โทษยึดมั่นจึงเกิด “วาง” ว่างดับเย็น
พระท่านเน้นใครเดินผ่านถึงบ้านเอย 

*****************************
การเกิดมามีธาตุ 4 ขันธ์ 5 ก็คือการมาอยู่บ้านเช่า รอเค้าถีบส่งในที่สุด เราเช่าเค้ามาตลอด หลายต่อหลายหลัง ไม่สิ้นสุด คิดจะมีบ้านที่แท้จริงบ้างหรือเปล่า?

ดูปลาดิ้น หนีตาย ไว้เตือนตน





  • ดูปลาดิ้น หนีตาย ไว้เตือนตน
    จงดิ้นรน หนีภพชาติ ให้ขาดสิ้น
    อย่าพอใจ เพียงน้ำขัง กลางหญ้าดิน
    จะตายสิ้น ซ้ำทุกภพ ไม่จบเกม
    ---------------------...

    วัสสวดี

เข้าถึงธรรม..ทำยังไง



ชีวิตนี้เบิกบานได้มากมาย ก็เพราะมีครูบาอาจารย์นำพาไปสอนธรรมะ...ก็กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ต่อคุณพระศรีรัตนตรัยและคุณครูบาอาจารย์ ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ ท่าน ด้วยความซาบซึ้งใจยิ่งค่ะ ต่อไปนี้คือข้อสังเกตนะ...

****** การเข้าถึงธรรม บรรลุธรรม ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน ไม่ใช่เรื่องศึกษาหาทางให้ตนมีคุณวิเศษอะไรเพิ่มขึ้น แต่เป็นการถอนรากถอนโคน ตัดสิ่งทั้งหลายที่เรามีอยู่น่ะแหละ ว่าตามตำราก็คือสังโยชน์ 10 คือ 1.สักกายทิฏฐิ 2.วิจิกิจฉา 3.สีลัพพตปรามาส 4. กามฉันทะ 5.พยาบาท 6.รูปราคะ 7.อรู...ปราคะ 8.มานะ 9.อุทธัจจะ 10.อวิชชา +++ตัวเรา ของเราที่มันมีอยู่เดิมทั้งนั้นเลย+++

******* แต่การตัด มันไม่ใช่ไปหักหาญจิตใจเราให้ละสิ่งเหล่านี้ มันเป็นการปฏิบัติใดๆ ก็ตาม ที่ทำความเห็นของเราให้ตรงทางนั่นก็คือเห็นทุกข์ เห็นโทษของสิ่งที่เรามี เมื่อเข้าใจ เห็นทุกข์ เห็นโทษ จิตก็จะหน่ายและไม่เอาสิ่งเหล่านี้ไปเอง อย่างที่เรียกกันว่า "วาง" +++รู้แล้ว มันก็วางน่ะแหละ หรือจะเรียกตัดกิเลส มันก็เป็นแบบนี้+++


******* เวลาเจอคนรักในการทำบุญกุศล ปฏิบัติธรรม คุยไปคุยมา ก็มักจะบอกว่า "โอ๊ย ฉันทำไม่ได้ ไปไม่ถึงหรอก การพ้นทุกข์" ที่จริงก็เพราะยังรักที่จะทำอะไรตามความเคยชิน ไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองมากกว่า (ว่าตรงๆ เลยนะ 5555) ก็ลองตั้งเป้าหมายดูสิ ถ้ามีเป้าหมาย และทำทางไปสู่เป้าหมาย มันก็ต้องถึงได้สักวันน่ะแหละ (คนพูดก็ยังไม่ถึงหรอกนะ เป็นคนเดินทางเท่านั้น)


********ถึงใช้ชีวิตทางโลก ธรรมก็ทำให้อยู่กับโลกได้อย่างมีความสุข ให้รู้ว่าจะรับมือกับทุกข์ได้อย่างไร ซึ่งคนเราเจอทุกคนแหละ ความทุกข์ แล้วจะแยกโลกไปฝั่งนึง ธรรมไปฝั่ีงนึง เพื่อ.................(ถามตัวเองกันนะ จบแค่นี้แหละ !!!)



รู้อะไรก็ไม่สู้ความรู้ตัว



รู้อะไรก็ไม่สู้ความรู้ตัว
รู้ไปทั่ว ถึงรู้มากสักเพียงไหน
ก็จบลงตรง “แค่นั้น” มันร่ำไป
เพียงรู้ตัว รู้ใจ สิได้ธรรม

สุขสันต์...วันใกล้ตาย 2559



    จาก Facebook
    ขอขอบคุณทุกคำอวยพรในวันเกิดที่ผ่านมานะคะ
    วันเกิด..ถามว่าเราคิดถึงอะไร เราคิดว่า
    เราได้นับถอยหลังสู่ความตาย ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว...

    ธรรมดานั้น เราไม่อยากคิดถึงความตายกันหรอก
    ลึกๆ เราไม่ยอมรับด้วยซ้ำ ว่าเราจะต้องตาย
    แล้วเราก็ใช้ชีวิตแบบ....ทำมาหากินกันไป หาความสุขกันไป
    ลืมๆ มันไปซะ เรื่องความตาย
    แล้วถ้าวันนึงมันจู่โจมเข้ามาหาโดยเราไม่ทันตั้งตัวล่ะ...
    …………………………………………
    พระพุทธเจ้านั้น แทนที่ท่านจะสอนให้เราลืมๆ ไปเสียเรื่องความตาย
    จะได้ไม่ต้องทุกข์ อย่างที่เราคิดกัน

    แต่ท่านสอนให้เรามองเห็นและยอมรับว่าความตายเป็นธรรมดาของชีวิต
    เราต้องเตรียมพร้อมที่จะรับภาวการณ์นี้เสมอ

    เลิกหลอกตัวเอง...และเมื่อมองเห็นได้ว่าความตายเป็นธรรมดา
    เตรียมพร้อมที่จะตายอยู่เสมอ ใจมันก็มีความสุข (จริงๆ)
    ไม่ใช่ความสุข (ปลอมๆ) เพราะมัน “ยอม”
    คนเรานั้น...มันยังไม่ตายหรอก ย้ำ....อย่างเราๆ ท่านๆ มันไม่ตายนะคะ
    เพราะมันจะตายแต่กาย แต่จิตที่มันเป็น “ตัวจริง” ของเรา มันไม่ตาย
    มันยังเวียนว่ายไปหา “กาย” ใหม่อยู่

    ความน่ากลัวมันอยู่ตรงนี้แหละ..ไม่ใช่น่ากลัวตรงที่ตาย เพราะยังไงมันก็ตายอยู่แล้ว แต่มันน่ากลัวตรงที่ว่า....แล้ว “กาย” ใหม่ของเราล่ะ มันจะไปอยู่ที่ไหน..
    จะอยู่ท่ามกลางไฟนรกท่วมหัวท่วมหูหรือเปล่า
    …………………………………….

    ทำดีไปสวรรค์...ทำชั่วไปอบาย...ถูก
    แต่พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นอัจฉริยบุคคล
    ท่านมองเห็นแจ้งแทงตลอดกว่านั่น
    เพราะแม้ความดีจะส่งเราไปสวรรค์ ไปพรหม ยาวนานมากมาย
    แต่มันก็ยังเป็นเรื่องชั่วคราว
    แล้วมันก็ไม่มีหลักประกันเลยด้วย
    ว่าเมื่อคุณเคยเสวยสุขเบื้องบนแล้ว
    คุณจะมาเป็นสัตว์นรกในกาลต่อไปไม่ได้
    เพราะฉะนั้น หนทางที่ปลอดภัยจริงๆ ก็คือ 
    หนทางพัฒนาจิตซึ่งเป็น “ตัวจริง” ของเรา
    ให้ก้าวเข้าสู่ “การไม่ต้องเกิด ไม่ต้องตาย” อีกต่อไป 
    ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านชี้ทางไว้อย่างชัดเจนแล้ว..
    หรือจะพูดอีกอย่าง..ท่านชี้ทางไม่ตาย
    พ้นจากความตายที่เราเกลียดกลัวเอาไว้ให้แล้ว
    แต่เราพร้อมจะหนีความตายตามท่านไปหรือเปล่า
    เรามี ๒ ตัวเลือก ต้องเลือกอันใดอันหนึ่ง
    เลือกทั้งสองทางไม่ได้เด็ดขาดนะ
    ทางเลือกแรก คือ เป็นตัวเราเก่าๆ เดิมๆ …ก็เราชอบอย่างนี้
    กับทางที่สอง...เดินตามทางของพระพุทธเจ้าให้เต็มกำลัง
    ...............................................
    หากเลือกทางที่สอง...
    ลืมมันไปเสีย..การใช้ชีวิตบนความเพลิดเพลิน
    แม้กระทั่ง...บนความเบียดเบียน
    ลืมมันไปเสียด้วย สวรรค์วิมานชั้นฟ้าทั้งหลาย
    ในเมื่อกายนี้ใกล้ดับสูญเข้าไปทุกที
    เราจะใช้กายนี้ให้มีคุณค่าได้อย่างไร
    เพื่อจะได้ไม่ต้องนับถอยหลังสู่ความตายอีกต่อไป...ชั่วกาล
    ................................................
    ขอบคุณทุกๆ ความปรารถนาดีของทุกท่าน
    ที่ถ่ายทอดมาเป็นคำอวยพรวันเกิดนะคะ


    วิศษามารตี ปารมิตา

ฟังเพลงเป็นธรรม--That's what friends are for




ครูบาอาจารย์เรา ท่านนำเพลงนี้มาให้ฟัง แล้วตั้งคำถาม ว่ามองเห็นอะไรบ้าง เพื่อนที่ดีที่สุดของเรา คือใคร เพื่อนที่จะอยู่เคียงข้างเราทั้งในยามสุขและทุกข์ ทำหน้าที่เพื่อนแท้จริงๆ....ใช่มนุษย์ตัวเป็นๆ หรือเปล่า อย่างที่ปรากฏในเนื้อเพลงว่า


In good times, in bad times
I'll be on your side forever more
That's what friends are for


ใครกันที่จะอยู่กับเราในทุกยาม...คำตอบนั้น คือ ลมหายใจไงล่ะ ยามสุข เค้าก็อยู่กับเรา ยามทุกข์เค้าก็อยู่กับเรา แต่เราเห็นเขาไหม....ถ้าเราเห็นเขา เกาะกุมเขาไว้ โดยเฉพาะในยามทุกข์ จิตของเราก็จะมีหลัก มีที่พึ่ง ไม่ถูกอารมณ์เศร้า เหงา ทุกข์ พัดพาไป ยามสุข เราก็จะมีหลักยึด ไม่ถูกคลื่นแห่งความหลงพัดออกไปไกล อย่างที่พระท่านว่า ให้รักษาจิตไว้กับกาย กายก็คือลมหายใจนี่ล่ะ เพราะลมหายใจก็คือส่วนหนึ่งของกาย

เราทุกคนมีเพื่อนแท้ที่เป็นที่พึ่งได้อยู่กับเราเสมอ นับแต่เกิดจนตาย 
แต่วันนี้...เรากุมมือเพื่อนของเราหรือยัง